Business Model Generation เป็นหนังสือและเครื่องมือทางธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยคุณ Alexander Osterwalder และ Yves Pigneur เพื่อช่วยผู้จัดการธุรกิจและผู้ประกอบการในการสร้างและพัฒนาแบบจำลองธุรกิจใหม่หรือปรับปรุงแบบจำลองธุรกิจที่มีอยู่แล้ว เครื่องมือนี้เน้นการแสดงภาพรวมของธุรกิจทั้งหมดในแบบกราฟิก ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าใจได้ง่ายและเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของธุรกิจในแง่มุมต่างๆ

หนังสือ ” Business Model Generation ” ได้ถูกออกแบบ เพื่อให้คำแนะนำในการสร้างแบบจำลองธุรกิจที่เป็นเชิงนวัตกรรม โดยการใช้ตัวอย่างสมมุติจากธุรกิจต่างๆ ที่สำเร็จและไม่สำเร็จ การใช้แบบจำลองนี้ช่วยให้ผู้จัดการธุรกิจสามารถเข้าใจและวางแผนในเรื่องของโมเดลธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ และการทดลองไอเดียใหม่ๆ เพื่อค้นหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับสภาพการแข่งขันและตลาดในปัจจุบันและอนาคตรวมถึงเครื่องมือและกระบวนการที่ใช้ในหนังสือ “Business Model Generation” ได้เปิดโอกาสให้ผู้จัดการธุรกิจสร้างและปรับแบบจำลองธุรกิจของตนเองอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพขึ้น

Model หมายถึง รูปแบบ หรือ แบบจำลองที่ใช้ในการอธิบายหรือแสดงสิ่งต่างๆ

ดังนั้น ” Business Model ” คือ รูปแบบของธุรกิจที่ใช้ในการอธิบาย หรือ แสดงโครงสร้างและหลักการทำงานของธุรกิจ เช่น วิธีที่บริษัทสร้างรายได้ วิธีการให้บริการหรือผลิตสินค้า และวิธีการสร้างคุณค่าสำหรับลูกค้า

Business Model Generation คือ กระบวนการสร้างแบบจำลองธุรกิจใหม่หรือปรับปรุงแบบจำลองธุรกิจที่มีอยู่เพื่อเข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงในตลาด โดยการใช้เครื่องมือและกระบวนการต่างๆ เพื่อวางแผนและออกแบบรูปแบบธุรกิจที่มีความสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและตลาดที่เป้าหมายถึง

ผู้ประกอบการ หรือ SME ( Small and Medium-sized Enterprises) ที่ต้องการเริ่มต้น กับ Business Model Generation สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนเหล่านี้:

  1. เข้าใจความต้องการ: วิเคราะห์และเข้าใจความต้องการของตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการบริการหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ.
  2. โอกาสและความก้าวหน้า: จำลองและตรวจสอบโอกาสที่มีให้แก่ธุรกิจของคุณ และสำรวจการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมของคุณ.
  3. กำหนดแนวคิด (Value Proposition): กำหนดคุณค่าที่คุณจะนำเสนอให้กับลูกค้า ว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะช่วยแก้ปัญหาหรือรองรับความต้องการของพวกเขาอย่างไร.
  4. กำหนดรายได้: คิดหาแนวทางในการสร้างรายได้จากแบบจำลองธุรกิจของคุณ ว่าคุณจะขายผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างไรและวางแผนการกำหนดราคา.
  5. วางแผนการกระจายผลิตภัณฑ์หรือบริการ: คิดให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการผลิตหรือให้บริการ และวางแผนการจัดหาวัตถุดิบ แรงงาน และทรัพยากรที่จำเป็น.
  6. กำหนดช่องทางการจัดจำหน่าย: พิจารณาว่าจะใช้ช่องทางใดในการเข้าถึงลูกค้า อาจเป็นการขายออนไลน์ ร้านค้าส่ง หรือทางแหล่งจำหน่ายอื่นๆ.
  7. จัดการค่าใช้จ่าย: กำหนดและจัดการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ.
  8. วางแผนการเงินและกำไร: ประเมินรายได้และค่าใช้จ่ายของแบบจำลองธุรกิจของคุณ วางแผนการเงินและกำไรเพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำกำไรและความยั่งยืน.
  9. ทดสอบและการพัฒนา: ทดสอบแบบจำลองธุรกิจของคุณในตลาดจริง และรับคำติชมและข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงและปรับแก้ไขแบบจำลองเพื่อให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า.
  10. สร้างและปรับแผนที่ยั่งยืน: แบบจำลองธุรกิจไม่เพียงแค่ขั้นตอนเริ่มต้น แต่ยังต้องเป็นกระบวนการที่ผู้ประกอบการสามารถปรับปรุงและปรับแผนให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดและอุตสาหกรรม.

การเริ่มต้นกับ Business Model Generation จะช่วยให้ SME มีการวางแผนธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืนขึ้น

เพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จในตลาดที่แข่งขันอย่างเต็มที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Business Model Canvas (BMC) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบและวางแผนรูปแบบธุรกิจอย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้การสร้างแนวคิดธุรกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วและเข้าใจง่าย โดยประกอบด้วยช่อง 9 ช่องที่แบ่งเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เพื่อสรุปแนวคิดและข้อมูลสำคัญของธุรกิจ

  1. Customer Segments (CS): กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าที่เราเน้นเข้าถึง
  2. Value Proposition (VP): คุณค่าที่เรานำเสนอให้กับลูกค้าเพื่อแก้ไขปัญหาหรือข้อสิ่งของพวกเขา
  3. Channels (CH): ช่องทางที่ใช้ในการนำสินค้าหรือบริการสู่ลูกค้า
  4. Customer Relationships (CR): วิธีการกำหนดความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การบริการหลังการขาย
  5. Revenue Streams (RS): แหล่งรายได้ที่เกิดจากลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  6. Key Resources (KR): ทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ เช่น เทคโนโลยี คนทำงาน และสินทรัพย์
  7. Key Activities (KA): กิจกรรมหลักที่ต้องทำเพื่อสร้างคุณค่าและให้บริการลูกค้า
  8. Key Partnerships (KP): ความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ
  9. Cost Structure (CS): โครงสร้างค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ

ผู้ประกอบการ SME ควรเริ่มต้นโดยการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของลูกค้า ( Customer Segments ) นำเสนอคุณค่าที่เราจะสร้างให้กับลูกค้า ( Value Proposition ) โดยพิจารณาจากข้อมูลและทรัพยากรที่มีอยู่ สร้างแผนการเรียกเก็บรายได้ (Revenue Streams) การเสนอสินค้าหรือบริการไปยังลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ( Channels ) เพื่อที่จะสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า

การสร้างลูกค้าและคุณค่าให้กับธุรกิจ (Customer Segments และ Value Proposition) คือ เป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างพื้นฐานและเป้าหมายของธุรกิจ ซึ่งจะเป็นฐานในการกำหนดแผนการทำธุรกิจและสร้างแบบจำลองธุรกิจที่สอดคล้องกับตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าถึง

การทำธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นกระบวนการที่ต้องการการวางแผนและการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างดีเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีกำไรสูงสุด ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจแฟรนไชส์อาจจะประกอบด้วยหลายส่วนดังนี้:

  1. ค่าเช่าพื้นที่: ค่าเช่าร้านหรือพื้นที่ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ร้านค้าหรือสถานที่บริการต่างๆ
  2. ค่าตกแต่ง: ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งและจัดวางพื้นที่ร้าน เพื่อให้เข้ากับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย
  3. ค่าวัสดุอุปกรณ์: ค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ วัสดุด้านการผลิตหรือบริการ
  4. ค่าสินค้าและบริการ: ค่าใช้จ่ายในการจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบสำหรับการขายหรือการให้บริการตามแบบแผนธุรกิจ
  5. เงินเดือนพนักงาน: ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเดือนและสวัสดิการให้แก่พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
  6. ค่าการตลาด: ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการตลาดเพื่อสร้างความรู้สึกและความนิยมให้กับแบรนด์แฟรนไชส์
  7. ค่าจัดหาทำเลที่ตั้ง: ค่าใช้จ่ายในการหาที่ตั้งที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์
  8. ค่าอบรม: ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้มีความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับแบบแผนธุรกิจ

รวมถึงค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนแฟรนไชส์ต่างๆ ซึ่งอาจจะรวมอยู่ในค่า Franchise Fee และ Royalty Fee ที่เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ต้องชำระให้กับเจ้าของแบรนด์ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการรับข้อมูลที่จำเป็นในการพัฒนาและสนับสนุนธุรกิจแฟรนไชส์ด้วย

การกำหนดงบประมาณและการจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการให้แนวทางที่ชัดเจนแก่ธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและก้าวสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นใจ

ขอบคุณที่แบ่งปัน แชร์