การตั้งราคาขายในแต่ละระดับชั้น

ตั้งแต่โรงงานจนถึงช่องทางการขายต่างๆ เช่น ยี่ปั๊ว, ซาปั๊ว, Hyper Mart, Super Mart, OT Retail, และ Convenience Store ควรคำนึงถึง โครงสร้างราคาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างกำไรของทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทาน และความสามารถในการแข่งขันในตลาด

โครงสร้างราคาขายในแต่ละระดับชั้น

1. ระดับโรงงาน

  • ต้นทุนสินค้า (Cost of Goods Sold – COGS):
    รวมวัตถุดิบ, แรงงาน, ค่าใช้จ่ายในการผลิต, ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร ฯลฯ
  • กำไรขั้นต้นของโรงงาน (Factory Margin):
    โดยทั่วไป 10-20% เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าขนส่งและค่าการจัดการ
  • ราคาขายโรงงาน (Ex-Factory Price):
    คำนวณจากต้นทุนสินค้า + กำไรขั้นต้น
    ตัวอย่าง:
    • ต้นทุนผลิต
    • กำไรโรงงาน

2. ระดับยี่ปั๊ว (Wholesaler)

  • ส่วนลดราคาขายส่ง:
    โรงงานมักให้ส่วนลด 15-20% ขึ้นอยู่กับปริมาณสั่งซื้อ
  • ราคาขายส่งให้ซาปั๊ว:
    ยี่ปั๊วจะบวกกำไรอีก 5-10%
  • ตัวอย่าง:
    • ราคาจากโรงงาน
    • ส่วนลดยี่ปั๊ว 20% → ราคายี่ปั๊วซื้อ
    • บวกกำไรยี่ปั๊ว 10% → ราคายี่ปั๊วขาย

3. ระดับซาปั๊ว (Sub-Wholesaler)

  • ราคาขายส่งปลีก (Semi-Wholesale Price):
    ซาปั๊วมักขายให้ร้านค้าปลีกรายย่อยหรือผู้บริโภคในชุมชน โดยบวกกำไร 10-20%
  • ตัวอย่าง:
    • ราคาที่ซาปั๊วซื้อ:
    • บวกกำไร 15% → ราคาซาปั๊วขาย

4. Hyper Mart / Super Mart

  • ราคาขายปลีกในห้างใหญ่:
    ต้องมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ และรวมค่าใช้จ่ายในการจัดการ เช่น ค่าเช่าพื้นที่, การตลาด, การจัดโปรโมชัน
  • ส่วนลดจากโรงงาน:
    Hyper Mart อาจได้ส่วนลดพิเศษ 20-30% เพื่อรองรับต้นทุนการดำเนินงาน
  • ราคาขายปลีก:
    กำไร 10-15% เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
  • ตัวอย่าง:
    • ราคาจากโรงงาน: 120 บาท
    • ส่วนลด Hyper Mart 25% → ราคาซื้อ 90 บาท
    • บวกกำไร 15% → ราคาขายปลีก = 103.5 บาท

5. OT Retail (ร้านขายของฝาก / ร้านสินค้าเฉพาะทาง)

  • ราคาขายสินค้าเฉพาะกลุ่ม:
    ราคามักจะสูงขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าท้องถิ่นหรือของฝาก
  • กำไรสูง (20-30%):
    เพื่อครอบคลุมต้นทุนการจัดการสินค้าเฉพาะ
  • ตัวอย่าง:
    • ราคาจากโรงงาน
    • ราคาขาย OT Retail

6. Convenience Store ร้านสะดวกซื้อ

  • ราคาขายปลีกในร้านสะดวกซื้อ:
    ราคาต้องสอดคล้องกับกำลังซื้อของลูกค้า
  • ส่วนแบ่งการขาย (Listing Fee):
    Convenience Store อาจขอส่วนแบ่งจากยอดขายหรือค่าส่งเสริมการตลาด
  • กำไรของร้านค้า:
    10-20%
  • ตัวอย่าง:
    • ราคาจากโรงงาน
    • ราคาขายปลีก Convenience Store

การตั้งราคาขาย

การกำหนดราคาขายควรคำนึงถึง:

  1. ความคุ้มค่าในแต่ละระดับชั้น:
    ทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทานควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
  2. ความสามารถในการแข่งขัน:
    ราคาขายปลีกต้องแข่งขันกับคู่แข่งในช่องทางเดียวกัน
  3. การจัดโปรโมชัน:
    เผื่อส่วนลดสำหรับโปรโมชัน เช่น ซื้อ 1 แถม 1, ลดราคาพิเศษ

โครงสร้างราคาขายที่คุณสรุปได้ชัดเจนและสมบูรณ์แล้วครับ! สรุปข้อดีของโครงสร้างราคานี้

  1. สำหรับร้านค้าย่อย ( พ่อค้าแม่ค้า ) ระบบสมาชิก
    • ราคาขายที่คุ้มค่าตามต้นทุนและกำไรที่เหมาะสม (~20% กำไร)
    • ส่งฟรีสำหรับการสั่งซื้อ 200 แพ็คขึ้นไป ภายในระยะทาง 10 กม.
    • ส่วนลดพิเศษหากสั่งซื้อเกิน 500 แพ็ค ช่วยกระตุ้นการสั่งซื้อในปริมาณมาก
  2. สำหรับผู้บริโภค:
    • ราคาไม่สูงเกินไป (~30% กำไร) และสามารถเข้าถึงได้ง่าย
    • ส่งฟรีภายในระยะทาง 10 กม. สำหรับการสั่งซื้อ 200 แพ็คขึ้นไป
    • โปรโมชั่นพิเศษช่วงเทศกาล เช่น ซื้อ 5 แพ็คลด 10% เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้า

ตัวิอย่าง

โครงสร้างราคา ” คลังน้ำดื่มรังสิต ” ส่งฟรี (ขั้นต่ำ 200 แพ็ค) ภายในระยะทางไม่เกิน 10 กม.

กลุ่มลูกค้าราคาต้นทุน (บาท/แพ็ค)ราคาขาย (บาท/แพ็ค)กำไร (%)เงื่อนไขเพิ่มเติม
1. พ่อค้า แม่ค้า (ร้านค้าย่อย)25 บาท30 บาทขั้นต่ำ 100 แพ็ค
2. ผู้บริโภค25 บาท35 บาทไม่มีขั้นต่ำ (ขายปลีก)
ส่งฟรีสำหรับการสั่งซื้อ 200 แพ็คขึ้นไป ภายใน ระยะทาง 10 กม.

รายละเอียดการตั้งราคาและเงื่อนไขส่งฟรี

  1. พ่อค้า แม่ค้า (ร้านค้าย่อย)
    • ต้นทุนของคลังน้ำดื่มรังสิต: 21 บาท/แพ็ค
    • ราคาขายให้ร้านค้าย่อย: 30 บาท/แพ็ค
    • กำไรของคลังน้ำดื่มรังสิต: ~20% ต่อแพ็ค
    • เงื่อนไข:
      • ขั้นต่ำ 100 แพ็ค
      • ส่งฟรี สำหรับการสั่งซื้อ 200 แพ็คขึ้นไป ภายใน ระยะทาง 10 กม. จากคลังน้ำดื่มรังสิต
      • หากสั่งซื้อเกิน 500 แพ็ค สามารถขอส่วนลดเพิ่มเติมได้
  2. ผู้บริโภค
    • ต้นทุนของคลังน้ำดื่มรังสิต: 21 บาท/แพ็ค
    • ราคาขายปลีก: 35 บาท/แพ็ค
    • กำไรของคลังน้ำดื่มรังสิต: ~40% ต่อแพ็ค
    • เงื่อนไข:
      • ไม่มีขั้นต่ำ ในการซื้อ
      • ส่งฟรี สำหรับการซื้อ 200 แพ็คขึ้นไป ภายใน ระยะทาง 10 กม. จากคลังน้ำดื่มรังสิต

ข้อเสนอเพิ่มเติม

  • สำหรับร้านค้าย่อย (ขั้นต่ำ 100 แพ็ค):
    • ส่งฟรีเมื่อสั่งซื้อ 200 แพ็คขึ้นไป ภายในระยะทาง 10 กม.
    • ส่วนลดพิเศษสำหรับการสั่งซื้อเกิน 500 แพ็ค
  • สำหรับผู้บริโภค:
    • ส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อ 200 แพ็ค ขึ้นไป ภายใน ระยะทาง 10 กม.
    • โปรโมชั่นพิเศษช่วงเทศกาล เช่น ซื้อ 5 แพ็คลด 10%

หลักสูตร Strategic Modern Trade Management เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้เชิงกลยุทธ์สำหรับการบริหารจัดการธุรกิจในตลาดค้าปลีกและค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) โดยเน้นการวางแผน การจัดการ และการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

วัตถุประสงค์ของหลักสูตร

  1. เพื่อพัฒนาความรู้เชิงกลยุทธ์สำหรับการบริหาร Modern Trade
  2. เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการวิเคราะห์และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและคู่ค้า
  3. เพื่อพัฒนาทักษะในการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายและการเจรจาต่อรอง
  4. เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดและการขายที่มีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล

หัวข้อการเรียนรู้

  1. Overview of Modern Trade Management
    • ความเข้าใจพื้นฐานของตลาด Modern Trade
    • การเปรียบเทียบระหว่าง Traditional Trade กับ Modern Trade
    • โครงสร้างตลาดและบทบาทของผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรม
  2. Strategic Planning for Modern Trade
    • การวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง (SWOT Analysis และ PESTLE Analysis)
    • การกำหนดกลยุทธ์สำหรับการเจาะตลาดค้าปลีกและค้าส่ง
    • การสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
  3. Key Account Management
    • การบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้า (Key Accounts)
    • กลยุทธ์การเจรจาต่อรองและการพัฒนาความร่วมมือ
    • การจัดการข้อเสนอและโปรโมชั่น
  4. Retail Operations and Supply Chain
    • การจัดการคลังสินค้าและซัพพลายเชน
    • การจัดเรียงสินค้าและการบริหารพื้นที่ขาย (Planogram)
    • การวางแผนสินค้าคงคลังให้เหมาะสม
  5. Consumer Insights and Marketing Strategies
    • การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคใน Modern Trade
    • การตลาดดิจิทัลและการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
    • การสร้างแบรนด์และการเพิ่มยอดขาย
  6. Sustainability and Innovation in Modern Trade
    • การพัฒนากลยุทธ์ที่ยั่งยืน
    • การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใน Modern Trade
    • การปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

รูปแบบการเรียนการสอน

  • บรรยายพร้อมกรณีศึกษา (Case Study)
  • การทำ Workshop แบบกลุ่ม
  • การฝึกปฏิบัติ (Simulation)
  • การนำเสนอผลงานและการให้คำแนะนำเชิงลึก

กลุ่มเป้าหมาย

  • ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย
  • เจ้าของธุรกิจที่ต้องการเข้าสู่ตลาด Modern Trade
  • ผู้บริหารที่ต้องการพัฒนากลยุทธ์สำหรับการขยายตลาด

การแข่งขันในยุคปัจจุบัน ยากกว่ายุคเก่า ความรู้และความร่วมมือสำคัญที่สุด

ธุรกิจและการจำหน่ายสินค้า โรงงานต้องจับมือกับทาง Distribution Center ศูนย์กระจายสินค้า

Distribution Center (DC) การจัดการจัดส่งสินค้า การใช้ DC คือ การจัดการสินค้าคงคลัง และการส่งต่อสินค้าไปยังลูกค้าหรือเครือข่ายการขาย (ร้านค้าปลีกหรือผู้บริโภค) โดยตรงจากคลังสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้าที่ใช้ในการจัดการและส่งมอบสินค้าจากโรงงานไปยังร้านค้าหรือผู้บริโภค

ขอบคุณที่แบ่งปัน แชร์