Depreciation Comparison Table: Double Declining Balance (DDB) vs. Straight Line Method (SLM)

ค่าเสื่อมในอุตสาหกรรมน้ำดื่ม

ในอุตสาหกรรมที่มีการผลิตจำนวนมาก เช่น น้ำดื่ม ค่าเสื่อมเครื่องจักรถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนด ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตั้งราคาสินค้าและการวางแผนการผลิตในระยะยาว


เหตุผลที่ค่าเสื่อมมีความสำคัญในอุตสาหกรรมน้ำดื่ม

  1. กลยุทธ์การตั้งราคา
    • ค่าเสื่อมจะถูกรวมในการคำนวณต้นทุนการผลิตต่อหน่วย เช่น ต้นทุนต่อแพ็คของน้ำดื่ม
    • หากค่าเสื่อมต่อหน่วยต่ำ ธุรกิจสามารถตั้งราคาที่แข่งขันได้ ช่วยสร้างความได้เปรียบในตลาด
  2. การจัดสรรต้นทุน
    • ค่าเสื่อมช่วยกระจายต้นทุนของเครื่องจักรที่มีมูลค่าสูงไปยังรอบการผลิตต่าง ๆ อย่างยุติธรรม
  3. การวางแผนการลงทุน
    • การติดตามค่าเสื่อมช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการซื้อหรืออัปเกรดเครื่องจักรได้ทันเวลา ลดความเสี่ยงในการผลิตหยุดชะงัก

ตัวอย่างในกระบวนการผลิตน้ำดื่ม

สมมติว่าธุรกิจน้ำดื่มมีข้อมูลดังนี้:

  • มูลค่าเครื่องจักร: 10,000,000 บาท
  • อายุการใช้งาน: 5 ปี
  • มูลค่าซาก: 1,000,000 บาท
  • การผลิตต่อปี: 156,000 แพ็คต่อเดือน × 12 เดือน = 1,872,000 แพ็ค
  • เฉลี่ยผลิตวันละ 6,000 แพคต่อวัน

ผลกระทบที่สำคัญต่อธุรกิจ

  1. การตั้งราคาที่แข่งขันได้:
    การลดลงของค่าเสื่อมในแต่ละปี (ตามวิธี DDB) ช่วยให้ต้นทุนลดลง ส่งผลให้ธุรกิจสามารถปรับราคาสินค้าได้อย่างยืดหยุ่น
  2. ประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไร:
    การคำนวณค่าเสื่อมที่เหมาะสมช่วยให้ต้นทุนสะท้อนความเป็นจริง ลดโอกาสตั้งราคาที่ต่ำเกินไปซึ่งอาจทำให้กำไรลดลง
  3. การวางแผนงบประมาณ:
    การติดตามค่าเสื่อมช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์ช่วงเวลาที่ต้องลงทุนในเครื่องจักรใหม่ได้อย่างแม่นยำ

ค่าเสื่อมสามารถ แปลง เป็น ต้นทุน

ค่าเสื่อมเครื่องจักร

Depreciation หมายถึง การกระจายต้นทุนของสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือสิ่งปลูกสร้าง ออกไปตามระยะเวลาใช้งาน เพื่อสะท้อนมูลค่าที่ลดลงของสินทรัพย์ในบัญชี โดยที่ค่าเสื่อมนี้ถือเป็นต้นทุนทางบัญชี (Non-cash Expense) ที่ไม่มีการจ่ายเงินจริง แต่มีผลต่อกำไรสุทธิของธุรกิจและการคำนวณภาษี


ทำไมต้องคิดค่าเสื่อมเครื่องจักร

  1. สะท้อนมูลค่าของสินทรัพย์ที่ลดลง
    • เครื่องจักรจะเสื่อมสภาพเมื่อใช้งาน เช่น ลดประสิทธิภาพหรือมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพิ่มขึ้น
    • ช่วยให้ข้อมูลในงบการเงินแสดงถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์
  2. วางแผนการลงทุนใหม่
    • ค่าเสื่อมช่วยบอกว่าธุรกิจต้องเริ่มวางแผนการซื้อสินทรัพย์ใหม่เมื่อใด
  3. ลดภาระภาษี
    • ค่าเสื่อมสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ธุรกิจมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น

วิธีการคิดค่าเสื่อมเครื่องจักร

ค่าเสื่อมแบบเส้นตรง (Straight Line Method – SLM)

การคิดค่าเสื่อมแบบเส้นตรงเป็นวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมที่สุดในการคำนวณค่าเสื่อมของสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อาคาร หรืออุปกรณ์สำนักงาน วิธีนี้กระจายค่าเสื่อมในแต่ละปีให้เท่ากันตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์

หลักการคำนวณค่าเสื่อมแบบเส้นตรง

สูตร: ค่าเสื่อมต่อปี =ราคาสินทรัพย์ – มูลค่าซากอายุการใช้งาน (ค่าเสื่อมต่อปี)

  • ราคาสินทรัพย์ (Asset Cost): ราคาที่ซื้อสินทรัพย์ รวมถึงค่าขนส่ง ค่าติดตั้ง หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
  • มูลค่าซาก (Residual Value): มูลค่าคาดการณ์ที่สินทรัพย์จะเหลือเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน
  • อายุการใช้งาน (Useful Life): ระยะเวลาที่สินทรัพย์สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการคำนวณ

  • ราคาซื้อเครื่องจักร: 10,000,000 บาท
  • มูลค่าซาก: 1,000,000 บาท
  • อายุการใช้งาน: 5 ปี

ค่าเสื่อมต่อปี=10,000,000 − 1,000,000 = 1,800,000 บาทต่อปี

หากผลิต 1,872,000 แพ็คต่อปี:

ค่าเสื่อมต่อแพ็ค = 0.96 บาทต่อแพ็ค

ค่าเสื่อมต่อปี นำมาคิดเป็นต้นทุน

ข้อดีของวิธี SLM

  1. ง่ายต่อการคำนวณ: สูตรไม่ซับซ้อนและสามารถนำไปใช้กับสินทรัพย์หลากหลายประเภท
  2. เหมาะกับสินทรัพย์ที่ใช้งานสม่ำเสมอ: เช่น เครื่องจักรที่มีการใช้งานคงที่ตลอดอายุการใช้งาน

ข้อเสียของวิธี SLM

  1. ไม่สะท้อนความเป็นจริงในบางกรณี: หากสินทรัพย์มีการเสื่อมสภาพหรือใช้งานหนักในช่วงปีแรก ๆ อาจไม่เหมาะสม
  2. ไม่มีการลดค่าเสื่อมตามอัตราใช้งานจริง: อาจไม่เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีการใช้งานหนักในช่วงต้นอายุ

การคิดค่าเสื่อมแบบ Double Declining Balance (DDB)

การคิดค่าเสื่อมในอัตราลดลงสองเท่าของค่าเสื่อมแบบเส้นตรง เป็นวิธีที่มักใช้ในธุรกิจที่ต้องการหักค่าเสื่อมให้สูงในช่วงต้นของอายุสินทรัพย์ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานที่หนักในช่วงแรกและลดลงในช่วงท้าย โดยเฉพาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีการใช้งานเข้มข้นในช่วงแรก เช่น เครื่องจักรในกระบวนการผลิต


หลักการคิดค่าเสื่อมแบบ Double Declining Balance:

  1. กำหนดอัตราค่าเสื่อม: อัตราค่าเสื่อม = 1อายุการใช้งาน × 2 อัตรา ค่าเสื่อม
  2. คำนวณค่าเสื่อม: ค่าเสื่อมในแต่ละปี = มูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ต้นปี × อัตราค่าเสื่อมค่าเสื่อมในแต่ละปี
  3. หยุดคิดค่าเสื่อมเมื่อถึงมูลค่าซาก: มูลค่าซากหรือมูลค่าคงเหลือที่คาดว่าจะขายได้ จะหยุดคิดค่าเสื่อมเมื่อสินทรัพย์มีมูลค่าต่ำกว่าหรือเท่ากับมูลค่าซาก

ตัวอย่าง:

เครื่องจักรในกระบวนการผลิต 1 Line มูลค่า 10 ล้านบาท อายุการใช้งาน 5 ปี มูลค่าซาก 1 ล้านบาท

  • อัตราค่าเสื่อม = 40% ต่อปี
  • ค่าเสื่อมในแต่ละปี:
ปีที่มูลค่าต้นปี (บาท)ค่าเสื่อม (40%)มูลค่าท้ายปี (บาท)
110,000,0004,000,0006,000,000
26,000,0002,400,0003,600,000
33,600,0001,440,0002,160,000
42,160,000864,0001,296,000
51,296,000296,000*1,000,000

หยุดค่าเสื่อมเมื่อถึงมูลค่าซากที่ 1,000,000 บาท

ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี

วิธีการข้อดีข้อเสีย
Straight Line– ง่ายต่อการคำนวณ– ไม่สะท้อนการใช้งานที่หนักในช่วงแรก
– ค่าใช้จ่ายเท่ากันทุกปี
Double Declining– สะท้อนการใช้งานในช่วงแรกได้ดี– คำนวณซับซ้อนกว่า
– ลดหย่อนภาษีได้มากในปีแรก– ค่าใช้จ่ายลดลงเรื่อย ๆ ทำให้การเปรียบเทียบแต่ละปียาก

ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี

บทบาทของค่าเสื่อมในอุตสาหกรรมน้ำดื่ม

ในอุตสาหกรรมที่มีการผลิตจำนวนมาก เช่น น้ำดื่ม ค่าเสื่อมเครื่องจักรมีบทบาทสำคัญในการกำหนด ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาสินค้าและการวางแผนการผลิตระยะยาว

  • ตัวอย่าง: หากต้นทุนการผลิตน้ำดื่มต่อแพ็คคำนวณรวมค่าเสื่อมแล้วต่ำ ธุรกิจสามารถตั้งราคาที่แข่งขันได้
  • ค่าเสื่อมยังช่วยให้บริษัทสามารถมองเห็นระยะเวลาที่ต้องลงทุนเพิ่มในเครื่องจักรใหม่

ขอบคุณที่แบ่งปัน แชร์