การลดต้นทุนพลังงานในโรงงานน้ำดื่มสามารถทำได้โดยการวางแผนการใช้พลังงานและการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีอัตราค่าไฟต่างกัน

แนวทางสรุปในการบริหารจัดการการใช้พลังงานสำหรับโรงงานน้ำดื่ม:


แนวทางการลดต้นทุนพลังงานในโรงงานน้ำดื่ม

การอ่านมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนเพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า โดยการอ่านมิเตอร์อย่างถูกต้องและเข้าใจวิธีคำนวณค่าไฟสามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจมองเห็นแนวทางการจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การอ่านมิเตอร์ไฟฟ้าและประเภทของหน่วยวัด

  1. หน่วยวัดพลังงานไฟฟ้า:
    มิเตอร์ไฟฟ้าจะวัดพลังงานไฟฟ้าเป็นหน่วย กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ซึ่งคำนวณจากกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในช่วงเวลาที่กำหนด ตัวอย่างเช่น หากเครื่องจักรใช้พลังงาน 1 กิโลวัตต์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง จะมีการใช้พลังงานเท่ากับ 1 หน่วย (1 kWh)
  2. ประเภทของช่วงเวลา:
    การไฟฟ้าจะมีการคิดค่าไฟตามช่วงเวลา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น:
  • On Peak: ช่วงเวลาที่มีการใช้พลังงานสูงสุด เช่น ช่วงกลางวันถึงเย็น ค่าไฟในช่วงนี้จะมีอัตราสูงกว่า
  • Off Peak: ช่วงเวลาที่การใช้พลังงานต่ำ เช่น กลางคืนถึงเช้ามืด ค่าไฟจะมีอัตราต่ำกว่า

การอ่านค่าบนมิเตอร์:

  • บนมิเตอร์ไฟฟ้าจะมีตัวเลขที่แสดงค่า kWh ที่สะสมทั้งหมดซึ่งใช้ไป การบันทึกและเปรียบเทียบค่าบนมิเตอร์ระหว่างวันต่าง ๆ จะช่วยให้ทราบปริมาณการใช้พลังงานในแต่ละช่วง
  • สำหรับธุรกิจที่ใช้ระบบ TOU (Time of Use) หรืออัตราค่าไฟตามช่วงเวลา การอ่านมิเตอร์จะช่วยให้วางแผนได้ว่าจะย้ายการใช้พลังงานไปช่วง Off Peak เพื่อประหยัดค่าไฟ

การคำนวณค่าใช้จ่าย:

  • นำหน่วย kWh ที่อ่านได้จากมิเตอร์ในแต่ละช่วงเวลา คูณด้วย อัตราค่าไฟตามช่วงเวลา (เช่น 4.1 ในช่วง On Peak และ 2.6 ในช่วง Off Peak) จะได้ค่าไฟรวมของแต่ละช่วง
  • การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของ On Peak กับ Off Peak ช่วยให้ทราบว่าควรปรับการใช้งานพลังงานในช่วงไหนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ตัวอย่างการวางแผนเพื่อลดต้นทุนจากการอ่านมิเตอร์ไฟฟ้า

สมมุติว่า ในเดือนที่ผ่านมา ธุรกิจใช้ไฟฟ้าช่วง On Peak รวม 58,768 kWh และช่วง Off Peak รวม 55,200 kWh จะได้ค่าใช้จ่ายดังนี้:

  • On Peak: 4.1 x 58,768 = 240,948.8 บาท
  • Off Peak: 2.6 x 55,200 = 143,520 บาท
  • ผลต่างค่าใช้จ่าย: 240,948.8 – 143,520 = 97,428.8 บาท

จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายในช่วง On Peak สูงกว่าช่วง Off Peak อย่างมาก การใช้ข้อมูลจากการอ่านมิเตอร์อย่างละเอียดจึงช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการใช้งานพลังงานในช่วง Off Peak เพิ่มขึ้น เพื่อลดต้นทุนได้อย่างชัดเจน

จัดลำดับการทำงานของเครื่องจักรตามช่วงเวลาค่าไฟ

  • ช่วง Off Peak (ค่าไฟต่ำที่สุด): 00:00 – 06:00 และ 22:00 – 00:00
    • เปิดเครื่องจักรหลักที่ใช้พลังงานสูง เช่น เครื่องเป่าขวด (Blowing Machine), ระบบบรรจุขวด (Filling Machine) และ เครื่องกรองน้ำระบบใหญ่
    • ใช้ช่วงเวลานี้ในการผลิตและบรรจุน้ำขวดปริมาณมาก เพื่อลดการทำงานในช่วง On Peak
  • ช่วง On Peak (ค่าไฟสูงที่สุด): 10:00 – 17:00
    • ลดการใช้งานเครื่องจักรที่มีพลังงานสูง โดยเลือกใช้อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ระบบแสงสว่าง หรือ ระบบทำความเย็นขนาดเล็ก
    • หลีกเลี่ยงการผลิตขวดใหม่ หรือการบรรจุน้ำในปริมาณมากในช่วงนี้
  • ช่วง Partial Peak (ค่าไฟปานกลาง): 06:00 – 10:00 และ 17:00 – 22:00 (ถ้ามี)
    • เปิดเครื่องจักรขนาดเล็กที่ใช้พลังงานปานกลาง เช่น ระบบปรับอากาศในพื้นที่ทำงาน หรือ ระบบทำความเย็นบางส่วน

ติดตั้งระบบควบคุมการใช้พลังงานอัตโนมัติ

  • ติดตั้งระบบ Automation System เพื่อควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องจักรในแต่ละช่วงเวลาอย่างเหมาะสม
  • ระบบสามารถตั้งโปรแกรมให้เครื่องจักรหยุดทำงานในช่วง On Peak หรือควบคุมความเร็วในการทำงานเพื่อประหยัดพลังงานในช่วงที่ค่าไฟสูง

ใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก

  • ติดตั้งโซล่าเซลล์: โซล่าเซลล์สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะในช่วง On Peak ซึ่งค่าไฟสูง หากใช้โซล่าเซลล์ในระบบทำความเย็นหรืองานแสงสว่าง จะช่วยลดต้นทุนได้ในระยะยาว
  • การลงทุนในพลังงานทดแทน: แม้มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น แต่สามารถคืนทุนได้ภายในไม่กี่ปี ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าในอนาคตได้อย่างมาก

บำรุงรักษาเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพ

  • การบำรุงรักษาเครื่องจักรสม่ำเสมอ เช่น การตรวจเช็คสภาพมอเตอร์หรือการเปลี่ยนอะไหล่ที่เสื่อมสภาพ จะช่วยให้เครื่องจักรทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น
  • ใช้ มาตรวัดพลังงาน (Energy Metering) เพื่อตรวจสอบการใช้พลังงานของเครื่องจักรในแต่ละวัน หากพบการใช้พลังงานสูงกว่าปกติ ควรตรวจสอบและแก้ไขทันที

การติดตามและปรับปรุงแผนการใช้พลังงาน

  • บันทึกการใช้พลังงานรายเดือน และวิเคราะห์แนวโน้มการใช้ไฟในแต่ละช่วงเวลาเพื่อปรับแผนการใช้งานให้เหมาะสม
  • เปรียบเทียบค่าไฟระหว่างช่วงเวลา On Peak และ Off Peak เพื่อพิจารณาโอกาสในการย้ายการทำงานที่ใช้พลังงานสูงไปช่วงค่าไฟต่ำ

ตัวอย่างตารางการควบคุมการใช้พลังงานในโรงงานน้ำดื่ม

ช่วงเวลาประเภทพลังงานเครื่องจักรหลักที่ใช้พลังงานระดับการใช้งานคำแนะนำ
00:00 – 06:00Off Peakเครื่องเป่าขวด, ระบบบรรจุขวด, เครื่องกรองทำงานเต็มกำลังใช้งานหนักเพื่อลดการใช้ในช่วง On Peak
06:00 – 10:00Partial Peakระบบระบายอากาศ, เครื่องกรองบางส่วนลดระดับการใช้งานควบคุมความเร็วและเวลาใช้งานให้เหมาะสม
10:00 – 17:00On Peakระบบแสงสว่าง, ระบบปรับอากาศขนาดเล็กจำกัดการใช้งานหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องจักรหนัก
17:00 – 22:00Partial Peakระบบทำความเย็นบางส่วน, ระบบเติมน้ำปรับระดับการใช้งานควบคุมการใช้พลังงานให้น้อยลง
22:00 – 00:00Off Peakเครื่องเป่าขวด, ระบบบรรจุขวดทำงานเต็มกำลังใช้พลังงานหนักในช่วงค่าไฟต่ำ
ตารางวางแผนการจัดลำดับ

สรุป

การวางแผนการใช้พลังงานให้ตรงกับช่วงเวลาที่ค่าไฟต่ำ รวมถึงการใช้ระบบอัตโนมัติและพลังงานทางเลือก จะช่วยลดต้นทุนการผลิตในโรงงานน้ำดื่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น การบำรุงรักษาเครื่องจักรให้พร้อมใช้งานและตรวจสอบการใช้พลังงานจะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

การเข้าใจเครื่องจักรและการวางแผนการผลิตจะช่วยลดต้นทุนได้

การจัดการเชิงปฏิบัติการเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และแข่งขันได้ในตลาด โดยเนื้อหาที่ควรทบทวนเพื่อความเข้าใจในการจัดการเชิงปฏิบัติการ มีดังนี้:

พื้นฐานและขอบเขตของการจัดการดำเนินงาน

  • ศึกษาความหมายและบทบาทของการจัดการดำเนินงาน ซึ่งครอบคลุมการวางแผน ควบคุม และปรับปรุงกระบวนการการผลิตและการบริการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • พัฒนากลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร โดยวางแผนเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพ เวลา ต้นทุน และความยืดหยุ่น

การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ

  • วางแผนและออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ตลอดจนใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ

การวางผังโรงงานและสาธารณูปโภค

  • ออกแบบผังโรงงานและการจัดวางสาธารณูปโภคภายในโรงงานให้มีความสะดวก ลดความซับซ้อนในกระบวนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดค่าใช้จ่าย

การวางตำแหน่งโรงงาน

  • การเลือกที่ตั้งโรงงานที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงลูกค้า และสนับสนุนการดำเนินงานโดยรวม

การจัดการโครงการ

  • ใช้เทคนิคการวางแผนและติดตามโครงการ เช่น Gantt Chart และ Critical Path Method (CPM) เพื่อให้โครงการเสร็จตามกำหนดเวลาและอยู่ในงบประมาณ

การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน

  • ดูแลและจัดการซัพพลายเชนเพื่อให้สามารถควบคุมกระบวนการตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงลูกค้าได้อย่างราบรื่น

การพยากรณ์การตลาด และการวางแผนความต้องการกำลังการผลิตและการผลิตรวม

  • การใช้เครื่องมือพยากรณ์เพื่อคาดการณ์ความต้องการสินค้าในอนาคต ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนกำลังการผลิตและการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการสินค้าคงคลัง

  • ควบคุมระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม เพื่อลดต้นทุนในการเก็บรักษาแต่ยังคงตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้

การสนับสนุนการผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just-In-Time)

  1. การจัดตารางการผลิต
    • วางแผนการผลิตเพื่อให้ทรัพยากรต่างๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สินค้าสำเร็จตามกำหนด
  2. การจัดการเชิงคุณภาพและการควบคุมคุณภาพเชิงสถิติ
    • ปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยใช้เครื่องมือควบคุมคุณภาพเชิงสถิติ เช่น แผนภูมิการควบคุม (Control Charts) และการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) เพื่อลดความผิดพลาดและปรับปรุงมาตรฐานการผลิต
  3. การจัดการทรัพยากรมนุษย์ในการดำเนินงาน
    • จัดการและพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการของกระบวนการผลิต โดยเน้นการฝึกอบรมและการเสริมสร้างทักษะเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การศึกษาและทบทวนเนื้อหาเหล่านี้จะช่วยให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนและจัดการกระบวนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายในการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มผลผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

การจัดการในการดำเนินงาน Operations Management 

เพื่อศึกษาถึงการจัดการดำเนินงานโดยภาพรวม และศึกษาในแต่ละเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ

  • เพื่อศึกษาถึงความหมายและความสัมพันธ์ ของคำว่าการผลิต (Production) ผลิตภาพ (Productivity) และการดำเนินงาน (Operations Management)
  • เพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติการทั้งในการผลิตและการบริหารวางแผนการวิเคราะห์ปัญหา
  • เรียนรู้แนวคิดเทคนิคและเครื่องมือในการออกแบบการวิเคราะห์และปรับปรุงความสามารถในการดำเนินงานขององค์กร
  • รู้จักการควบคุมการดำเนินงานทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ในกระบวนการผลิตและการให้บริการการกําหนด
  • เรียนรู้ระเบียบและวิธีการปฏิบัติในโรงงานและขั้นตอนการออกแบบการทำงาน การควบคุมวัตถุดิบ และการศึกษาเทคนิคต่างๆ ในการจัดการเชิงปฏิบัติการ
  • สามารถวิเคราะห์ถึงปัญหา และสาเหตุ รวมถึงเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยความรู้จากกรณีศึกษา

กระบวนการในการสร้างสินค้าและบริการโดยจะพิจารณาตั้งแต่กระบวนการของปัจจัยการผลิต Input จนกระทั่งแปรสภาพกลายเป็นผลผลิต Output

ขอบคุณที่แบ่งปัน แชร์

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *