การตั้งเป้าหมายเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการพัฒนาและบรรลุผลสำเร็จในธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิต
1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน (Specific)
- ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เช่น “ผลิตน้ำดื่ม 10 ล้านบาทต่อเดือน” หรือ “ผลิต 500,000 แพ็คต่อเดือน”
2. ทำให้เป้าหมายวัดได้ (Measurable)
- ต้องมีวิธีการวัดผลที่ชัดเจน เช่น “จำนวนขวดที่ผลิต” หรือ “ยอดขายรายเดือน”
3. กำหนดเป้าหมายที่สามารถทำได้ (Achievable)
- ตรวจสอบว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นสามารถทำได้จริงในสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่
4. ทำให้เป้าหมายเกี่ยวข้อง (Relevant)
- เป้าหมายควรสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และภารกิจของธุรกิจ เช่น การขยายตลาดหรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
5. ตั้งระยะเวลา (Time-bound)
- กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย เช่น “ภายใน 6 เดือน” หรือ “ภายในสิ้นปี”
6. แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย (Break it down)
- แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น เช่น ตั้งเป้าผลิต XXX,XXX แพ็คต่อสัปดาห์
7. ตรวจสอบและปรับปรุง (Review and Adjust)
- คอยตรวจสอบความก้าวหน้าและปรับเป้าหมายหากจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเป้าหมาย:
- เป้าหมายการผลิต: ผลิตน้ำดื่ม 10 ล้านบาทต่อเดือน ( 36 ล้านขวด) ภายใน 6 เดือน
- เป้าหมายการขาย: ขาย 500,000 แพ็คต่อเดือน โดยเพิ่มยอดขาย 10% ทุกเดือน
- เป้าหมายการขยายตลาด: ขยายไปยังตลาดตามแผน ภายใน 1 ปี
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถติดตามได้จะช่วยให้ทีมงานมีทิศทางในการทำงาน และสามารถประเมินความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
ต้วอย่าง
เครื่องบรรจุ รุ่น 24-24- 8
ผลิตได้ 8,000-12,000 ขวดต่อชั่วโมง จะช่วยลดเวลาการผลิตลงได้อย่างมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
คำนวณการผลิตต่อวัน:
- การผลิตที่ความเร็ว 8,000 ขวดต่อชั่วโมง จะต้องใช้เวลา ประมาณ 29 ชั่วโมงต่อวัน (อาจต้องแบ่งการผลิตเป็นกะ หรือใช้หลายเครื่อง)
- การผลิตที่ความเร็วสูงสุด 12,000 ขวดต่อชั่วโมง จะใช้เวลา เพียง 19 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งผลิตมีประสิทธิภาพมากความสูญเสียก็มากและตัวเลือกที่เหมาะสมจะเลือกอย่างไร หากคุณต้องการความเร็วในการผลิตที่สูงขึ้น
การใช้ 2 Line ในการผลิตจะเพิ่มความยืดหยุ่นและอาจช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่เครื่องบรรจุเครื่องหนึ่ง ต้องหยุดซ่อมหรือเกิดปัญหา ทั้งยังสามารถแบ่งการทำงานระหว่างเครื่องได้ดีกว่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม
การประเมินความคุ้มค่า:
หากคุณเลือกใช้ เครื่องบรรจุ รุ่น 24-24- 8 การผลิต 8,000-12,000 ขวดต่อชั่วโมง X 2 และต้องการแบ่งเป็น 2 Line เพื่อให้ทำงานพร้อมกัน นี่คือข้อดีและการประเมิน:
ข้อดี:
- ลดเวลาการผลิตต่อวัน:
ใช้ 2 Line ในการผลิต (สมมติว่าแต่ละเครื่องผลิตได้ 8,000 ขวดต่อชั่วโมง) จะทำให้ความสามารถในการผลิตรวมเป็น 16,000 ขวดต่อชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดเวลาการผลิตลงไปอย่างมาก - ความต่อเนื่อง: การมี 2 Line จะช่วยป้องกันการหยุดชะงักของการผลิตในกรณีที่ต้องซ่อมหรือบำรุงรักษาเครื่องใดเครื่องหนึ่ง
- ความยืดหยุ่น: หากยอดขายเพิ่มขึ้น คุณสามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตโดยใช้ Line ที่สองเสริมได้โดยไม่ต้องเพิ่มเวลาการผลิตต่อกะมากนัก
สรุป:
หากคุณใช้ 2 Line ในการผลิต 500,000 แพ็ค ต่อเดือน การคำนวณที่จะช่วยให้เข้าใจว่าความสามารถในการผลิตของเครื่องบรรจุแต่ละเครื่องจะเพียงพอตามต้องการ Goals Setting ได้ไหม
1. จำนวนแพ็คที่ต้องผลิตต่อวัน:
- ยอดขายรวม: 500,000 แพ็คต่อเดือน
- จำนวนวันทำงาน: 26 วัน
- การผลิตแต่ละ Line: เครื่องสามารถผลิตได้ 8,000 ขวดต่อชั่วโมง
- การผลิต 2 Line : เครื่องสามารถผลิตได้ 16,000 ขวดต่อชั่วโมง
- รวมเป็น 1,333 แพคต่อชั่วโมง แบบไม่เสียเลย
- รวมเป็น 15,999 แพคต่อ 12 ชั่วโมง แบบไม่เสียเลย
สรุป: GOAL SETTING
- จำนวนแพ็คที่ต้องผลิตต่อวัน: ประมาณ 19,231 แพ็ค
- จำนวนขวดที่แต่ละ Line ต้องผลิต: ประมาณ 115,386 ขวดต่อวัน
- เวลาที่ใช้ในการผลิตต่อวันต่อ Line:
- ประมาณ 14.42 ชั่วโมง (ที่ 8,000 ขวดต่อชั่วโมง)
- ประมาณ 9.62 ชั่วโมง (ที่ 12,000 ขวดต่อชั่วโมง)
การใช้ 2 Line จะช่วยในการจัดการเวลาในการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หมายเหตุ ยังมีเครื่องแพคอีกนะ ต้องเป็นอัตโนมัติ ต้องหาที่รองรับได้
ต้นทุนเฉพาะค่าแรงและค่าไฟที่ 1,000,000 บาท และยอดขายที่ 5,000,000 บาท สามารถคำนวณอัตราส่วนของต้นทุนต่อยอดขายได้ดังนี้:
การคำนวณอัตราส่วนของต้นทุนเฉพาะค่าแรงและค่าไฟต่อยอดขาย สามารถทำได้โดยการใช้สูตร:
สมมุติ ต้นทุนเฉพาะค่าแรงและค่าไฟ = 1,000,000 บาท
- ยอดขาย = 5,000,000 บาท
ดังนั้น อัตราส่วนของต้นทุนเฉพาะค่าแรงและค่าไฟต่อยอดขายเท่ากับ 20%
เรื่องของการจัดเก็บ หรือ คลังสินค้า
การคำนวณพื้นที่ของคลังสินค้าสำหรับสต๊อกน้ำ 20,000 แพ็ค โดยใช้พาเลทมาตรฐาน
ข้อมูลที่จำเป็น
- จำนวนแพ็ค: 20,000 แพ็ค
- ขนาดพาเลทมาตรฐาน: ขนาดพาเลทมาตรฐาน ประมาณ 1.2 เมตร x 1 เมตร (1,200 มม. x 1,000 มม.)
- จำนวนแพ็คต่อพาเลท: ขึ้นอยู่กับขนาดของน้ำแพ็ค 350 ml , 600 ml , 1500 ml
ขั้นตอนการคำนวณ
- คำนวณจำนวนแพ็คที่สามารถวางบนพาเลทหนึ่งแผ่น:
- ขนาดพาเลท: 1.2 ม. x 1.0 ม. = 1.2 ตร.ม.
- จำนวน 200 แพ็คต่อพาเลท : ขนาดแพ็ค 350 ml
- จำนวน 150 แพ็คต่อพาเลท : ขนาดแพ็ค 600 ml
- จำนวน 115 แพ็คต่อพาเลท : ขนาดแพ็ค1500 ml
คำนวณจำนวนพาเลทที่ต้องใช้:
ตัวอย่าง ขนาดแพ็ค 600 ml จำนวน 150 แพ็คต่อพาเลท :
คำนวณจำนวนพาเลทที่ต้องใช้:
จำนวนพาเลท = ใช้ประมาณ 134 พาเลท
คำนวณพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับคลังสินค้า:
- พื้นที่ต่อพาเลท: ขนาดพาเลทมาตรฐาน (1.2 ม. x 1.0 ม.) = 1.2 ตร.ม.
- พื้นที่รวม : 160.8 ตร.ม.
- การจัด Layout ของคลังสินค้า ต้องมีระยะ หรือ ช่องไฟและสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก
- กำหนดขนาดของช่องไฟ แถวพาเลทประมาณ 1.2 – 1.5 เมตร
- คำนวณ Layout : จำนวนพาเลท 134 พาเลท 20,000 แพค โดยมีการเว้นช่องไฟ X 2
- ขนาดพื้นที่จัดเก็บ: พาเลทที่จัดเก็บ:
- แถว: จำนวนพาเลทในแต่ละแถวขึ้นอยู่กับความยาวพื้นที่
- แถวแนวนอน: โดยทั่วไปจะวางพาเลทในลักษณะแนวนอน (พาเลทละ 1.2 เมตร)
- พื้นที่รวม : 160.8 ตร.ม. x 2 = ประมาณ 320 ตร.ม.
- จัดเก็บ 3 วัน : 320 ตร.ม. X 3 = ประมาณ 960 ตร.ม.
สรุป
- จำนวนพาเลทที่ต้องใช้: 402 พาเลท
- พื้นที่ที่จำเป็นสำหรับคลังสินค้า: 960 ตารางเมตร
- การออกแบบทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นจาก GOAL SETTING
คำถาม : เราจะขายใคร 20,000 แพคต่อวัน ?